About this product
ความจุของอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล32GB
ประเภทของการรับประกันการรับประกันของซัพพลายเออร์
Product description
USB MP3 แฟลชไดร์ฟธรรมะ ชุดที่ 17 พร้อมแถมเสียงธรรมะพระ อ.สมภพ โชติปัญโญ (แฟลชไดร์ของแท้)
- USB MP3 แฟลชไดร์ฟ 32 GB ของแท้ แถมฟรเสียงธรรมะ
- เสียงคมชัดทุกธรรมบรรยาย
- ไม่กระตุกเหมือนของปลอมที่ขายกันทั่ว ๆ ไป
- เล่นได้กับเครื่องเสียงในรถ เครื่องเสียงบ้าน และอุปกรณ์เครื่องเสียงทุกชนิดที่มีช่องต่อ USB
- สินค้ามีประกัน 5 ปี สามารถส่งเคลมได้ที่บริษัท Advice (กรุณาเก็บซองไว้สำหรับส่งเคลม ไม่มีซองแพคเกจเคลมไม่ได้ครับ)
🔹 เสียงธรรมะพระ อ.สมภพ โชติปัญโญ วัดไตรสิกขาทลามลตาราม อ.คำตากล้า จังหวัดสกลนคร
🔹 รวมเสียงธรรมเทศนาทั้งหมด 65 กัณฑ์
🔹 รวมความยาวธรรมบรรยายทั้งหมด 60 ชั่วโมง
ประวัติพระ อ.สมภพ โชติปัญโญ วัดไตรสิกขาทลามลตาราม อ.คำตากล้า จังหวัดสกลนคร
วัดไตรสิกขาทลามลตาราม อ.คำตากล้า จังหวัดสกลนคร
พระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ เป็นพระนักปฏิบัติ พระนักเทศน์ พระนักปราชญ์ แห่งภาคอีสานรูปหนึ่ง ที่ควรศึกษาถึงชีวประวัติและผลงานของท่าน เพราะเป็นพระผู้เสียสละอุทิศตนทำงาน เพื่อพระพุทธศาสนาอย่างจริง ดังนั้น เพื่อให้ง่ายต่อการนำเสนอ จึงแบ่งการศึกษาชีวประวัติของพระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ ดังนี้
พระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ มีนามเดิมว่า สมภพ นามสกุล ยอดหอ เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖) ณ บ้านแพด ตำบลบ้านแพด โยมบิดาชื่อ จูม นามสกุล ยอดหอ โยมมารดาชื่อ สอน นามสกุล ยอดหอ มีพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกัน ทั้งหมด ๑๒ คน
ครอบครัวของพระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ มีต้นกำเนิดที่บ้านนาผาง อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อครอบครัวประสพกับภาวการณ์หาเลี้ยงชีพที่ขัดสน โยมบิดาและโยมมารดาของท่านจึงได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่บ้านวังชมพู ตำบลแพด อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร เป็นที่น่าสังเกตว่าการอพยพครอบครัวมาที่จังหวัดสกลนครนั้นก็เพื่อให้บุตรธิดามีชีวิตที่สดใส คล้ายๆกับเป็นนัยยะว่า บุตรชายจะได้เป็นประทีปธรรมที่ส่องแสงสว่างแก่บุคคลผู้มืดมนในกาลข้างหน้า เมื่อพ่อจูมและแม่สอนได้เล็งเห็นพื้นที่เหมาะแก่การประกอบอาชีพแล้วจึงได้อพยพครอบครัวมาที่บ้านวังชมพู จนถึงปัจจุบันนี้
โยมบิดาของท่านพระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ เมื่อครั้งยังเป็นคฤหัสถ์ ท่านเป็นผู้มีจิตใจใฝ่ในทางธรรม ปฏิบัติตนเองตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เช่น การไปทำบุญตักบาตร รักษาศีล ๕ และอุโบสถศีล ในช่วงเข้าพรรษา เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่และอุดมการณ์ของพุทธศาสนิกชนที่พึงปฏิบัติ เมื่อท่านเลี้ยงดูบุตรธิดาจนเติบโต สามารถเลี้ยงชีพ ด้วยตนเองได้แล้ว ท่านจึงได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ได้รับนามฉายาว่า "สุจิตฺโต" ซึ่งแปลว่า ผู้มีจิตดี หรือ มีความคิดดี หลวงพ่อจูม สุจิตฺโต ได้ดำเนินชีวิตในเบื้องปลายที่พอเพียงกับสมระวิสัย เป็นคนพูดน้อย สันโดษ ตั้งใจบำเพ็ญกรรมฐานอย่างมุ่งมั่นจนมรณภาพ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่วัดนิพเพธพลาราม ตำบลบ้านแพด อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร โดยอยู่ในความดุแลอย่างใกล้ชิดของพระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ ซึ่งเป็นทั้งประธานสงฆ์และบุตรชาย ก่อนที่หลวงพ่อจูม สุจิตฺโต จะมรณภาพ ท่านได้ทิ้งมรดกธรรมไว้ให้แก่อนุชนได้คบคิดดังนี้
"ที่สิ้นสุดของกาย คือสิ้นลมหายใจ ที่สิ้นสุดของจิต คือ ตัวเราไม่มี ของเราไม่มี"
"เมื่อใดพรหมวิหารของเรายังไม่ครบสี่ เมื่อนั้นเรายังวุ่นวายอยู่ เพราะยังวางมันไม่ลง ปลงมันไม่ได้"
"คนเราเป็นทุกข์ อยู่กับธาตุสี่เพราะยังไม่เห็นธาตุรู้ รู้อย่างเดียวไม่สุข ไม่ทุกข์"
"จิตนั้นมันคือ (เหมือน) น้าม (น้ำ) น้ามมันชอบไหลลงทางต่ำ ถ้าคนสะหลาด (ฉลาด) กั้นมันไว้ มันก็จะไหลขึ้นที่สูง"
ส่วนโยมมารดา คือ แม่สอน ยอดหอ ก็ได้ดำเนินชีวิตเฉกเช่นสามีและบุตรชาย มีการทำบุญตักบาตร รักษาศีล ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่โอกาส จนเป็นที่รู้จักของเพื่อบ้านในตำบลแพด จึงถึงปัจจุบัน
พระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ ได้รับการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม หลักคำสอนในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่รุ่นทวด เพราะต้นกำเนิดบรรพบุรุษของท่านยึดมั่นในการทำบุญ ปฏิบัติธรรม รักษาศีล เป็นประจำ จึงนับได้ว่าเป็นครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฎฐิที่ใฝ่ในการปฏิบัติในครองแห่งสัมมาปฏิบัติ มีความใกล้ชิดและซาบซึ้งในหลักคำสอน ดังนั้น เมื่อท่านพระอาจารย์ จบการศึกษาในระดับประถม ๔ แล้วท่านก็ได้เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าเข้าบรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนาเพื่อศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างจริงจัง
เมื่อสามเณรสมภพ ยอดหอ ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรแล้วก็ได้ศึกษาหลักคำสอนและฝึกหัดปฏิบัติธรรม ศึกษาเล่าเรียนตามโอวาทของพระอุปัชฌาย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศึกษา
๑. ท่องบทสวดมนต์ หรือเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน
๒. ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม
เมื่อท่านบรรพชาเป็นสามเณรได้ประมาณ ๓ ปี ท่านก็ได้ลาสิกขาบท เพื่อไปประกอบอาชีพ โดยได้ไปทำงานยังต่างประเทศแถบอัฟริกา ยุโรป แถบตะวันออกกลาง ถึง ๑๓ ประเทศ รับผิดชอบเป็นหัวหน้ารับเหมาก่อสร้างถนน และสนามบินและได้ศึกษาถึงคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสด้วยถึงขั้นอยู่ในระดับแนวหน้า จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบาทหลวง เมื่อท่านจะเข้าพิธีล้างบาปเพื่อเป็นบาทหลวง ก็เกิดเหตุอัศจรรย์คือน้ำที่จะใช้ในการประกอบพิธีได้เหือดแห้งถึงสามครั้ง ทำให้ท่านได้พิจารณาโดยถ้องแท้ว่าเป็นหนทางที่ไม่ใช่และไม่เหมาะกับกับตนเอง ท่านจึงเริ่มหันชีวิตกลับเข้ามาสู่พระพุทธศาสนาอีกครั้ง ซึ่งเป็นศาสนาแรกที่ท่านดำเนินรอยตาม จากนั้นท่านก็ได้ศึกษาพระไตรปิฎกควบคู่กับการทำงานไปด้วยโดยใช้เวลานานถึง ๑๑ ปี จนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง หลังจากนั้นท่านก็ได้รวบรวมปัจจัยจากค่าจ้างการทำงานมาชื้อที่ดินเพื่อสร้างวัดบนเนื้อที่ ๕๐ ไร่ แล้วได้นิมนต์พระสงฆ์ให้มาจำพรรษา แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของท่านท่านเลยตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา เพื่อทำหน้าที่ศาสนทายาทดังปรากฏในปัจจุบันนี้
เมื่อท่านมีอายุ ๓๖ ปี ก็เกิดความคิดขึ้นว่า การที่เราลงทุนไปสร้างวัดจะให้ได้ประโยชน์มากเราจะต้องบวช ท่านจึงเดินทางกลับสู่มาตุภูมิโดยไปอุปสมบทที่วัดเนินพระเนาว์ จังหวัดหนองคาย ในปี พุทธศักราช ๒๕๒๘ โดยมี พระครูภาวนาปัญญาภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ โดยได้นามฉายาว่า "โชติปญฺโญ" ซึ่งแปลว่า ผู้มีปัญญาอันโชติช่วงประดุจดวงประทีป